ในสมัยอยุธยา รายได้นั้น อยู่ภายใต้ระบบการผลิตแบบพอยังชีพและการค้าแบบศักดินา รายได้หลักของรัฐมาจากส่วยซึ่งได้จากแรงงานไพร่ ส่วยส่วนหนึ่งถูกใช้ในราชอาณาจักร อีกส่วนหนึ่ง ถูกส่งเป็นสินค้าออก ทำให้รัฐมีรายได้จากการค้าต่างประเทศโดยไม่ต้องลงทุนมากนัก นอกจากนี้ รัฐยังมีรายได้จากภาษีอากรหลายประเภท รายได้จากเครื่องราชบรรณาการ และบรรณาการจากต่างประเทศ รายได้จากการเกณฑ์เฉลี่ย รายได้จากมรดกของขุนนาง รายได้จากการริบราชบาตรและเงินพินัยหลวง รวมทั้งรายได้จากการให้พ่อค้ากู้เงินไปลงทุน
(ริบบาตร หมายถึง การริบทรัพย์สินทั้งหมดของคนที่ต้องพระราชอาญาเข้าเป็นของหลวง)
รายจ่าย ในสมัยอยุธยา มีหลายประเภท ได้แก่ รายจ่ายด้านการพระศาสนา รายจ่ายในราชสำนัก รายจ่ายในการพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ แก่ขุนนาง รายจ่ายในการถวายบรรณาการแก่จักรพรรดิจีน และการลงทุนค้าขาย รายจ่ายในด้านการทหาร รวมทั้งรายจ่ายเมื่อเกิดวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ในราชอาณาจักร ในบรรดารายจ่ายเหล่านี้ที่เป็นรายจ่ายหลักซึ่งรัฐต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากได้แก่ รายจ่ายด้านการพระศาสนาและรายจ่ายในราชสำนัก เนื่องจากเป็นรัฐที่บริหารงานบ้านเมืองด้วยระบบราชการที่มีพื้นฐานอยู่บนระบบมูลนาย-ไพร่ ที่มีขุนนางศักดินาเป็นตัวจักรกลของระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น